เป้าหมายหลัก

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

ระบบนิเวศ-มหาสมุทร (Ecosystem - Ocean)

Biology แบบเด็กๆประถมศึกษา
"Ecosystem-Ocean"
"เด็กๆคะ".......
ในมหาสมุทรมี alegy มากมายคณานับ
พวกมันรับแสงอาทิตย์เป็นอาหาร
แพลงตอนพืชแพลงตอนสัตว์มีมานาน
เป็นอาหารกินกันเองทุกเวลา
เวลาผ่านพ้นไป.....เกิดมี ปลาเล็กเล็ก
"ดูสิเด็กเด็ก ปลาเล็กเล็ก กินอะไรล่ะ"
"แพลงตอนพืชและสัตว์นั่นไงคะ"
ปลาเล็กจะ ถูกปลาใหญ่กว่า..และใหญ่กว่าอีก มากินไป
ถึงจะใหญ่ แต่ต้องดับ ด้วยวัฏฏะ
ร่างกายจะ จมใต้ ทะเลใหญ่
เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ปล่อยออกไป
"ดูเร็วไวว่าแพลงตอนต้องการจริง"
ในระบบ Ecology นี้ตระหนัก
ให้รู้จัก เชื่อมโยง ซึ่งทุกสิ่ง
ไม่ว่าไหน ในทะเล หรือผืนดิน
ทั้งหมดสิ้น มอบประโยชน์ ให้แก่กัน

......................................................................................................





ระบบนิเวศ-มหาสมุทร   (Ecosystem - Ocean)


เรารู้ว่าการเรียนการสอนมอนเทสซอรีทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน การนำเสนอบทเรียนนิเวศวิทยาก็เริ่มให้เด็กได้คิด  ว่าทุกอย่างเชื่อมโยง และพิ่งพิงกัน  งานนี้เด็กเคยเรียนรู้สัตว์  และสัตว์น้ำที่หายใจเอาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย
การนำเสนอบทเรียน
เชิญเด็กมากลุ่มหนึ่ง  วันนี้เราจะมาคุยในสิ่งที่เด็กรู้อยู่แล้ว  แต่เรามาดูว่ามันทำงานเชื่อมโยงกันอย่างไร ในโลกมีพื้นดิน ครูวาดพื้นดินเห็นไหมคะว่าพื้นดินก็คือพื้นทวีปนั่นเอง  ให้เห็นว่าต่ำลงมา  ในโลกเราก็มีน้ำด้วย   ครูวาดผิวน้ำ  เรามีพื้นดิน พื้นทวีป ที่เปลือกโลกบางส่วนอยู่ใต้น้ำ  แล้วก็มีดวงอาทิตย์ที่ให้ความอุ่นแก่เรา  ครูวาดดวงอาทิตย์  แล้วก็เกิดมีสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร  และมีพืชสีเขียวที่เรียกว่า alegyมีalegyมากมายอาศัยอยู่ในผิวน้ำ  มันเป็นแพลงตอน  รับเอาแสงจากดวงอาทิตย์มาเป็นอาหาร  และเราเรียกสัตว์นี้ว่า  แพลงตอนสัตว์  และแพลงตอนพืชก็อาศัยอยู่รวมกัน  แพลงตอนสัตว์ก็กินแพลงตอนพืช  เมื่อเวลาผ่านพ้นไป  ก็มีปลาเกิดขึ้น ครูวาดปลาตัวเล็กๆ  แล้วปลานี้ก็กินทั้งแพลงตอนสัตว์และแพลงตอนพืชด้วย  แล้วเวลาผ่านไป  ก็มีปลาตัวใหญ่เกิดขึ้นด้วย  ปลาตัวใหญ่ก็กินปลาตัวเล็กและแพลงตอนสัตว์และแพลงตอนพืชด้วย  แล้วปลาใหญ่กินปลาเล็กต่อไปเรื่อย  ชีวิตก็มีการตาย  ปลาตายก็จมลงสู่ใต้ทะเล  เราจะเห็นโครงกระดูกจมอยู่ใต้ทะเล   โครงกระดูกเหล่านี้ค่อยๆ เน่าเปื่อยไปก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป  แล้วมีพืชและแพลงตอนพืชที่ต้องการคาร์บอนนี้  เพื่อผลิตอาหารร่วมกับแสงอาทิตย์   แล้วแพลงตอนพืชก็ปล่อยออกซิเจนออกมา สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราเรียกว่าระบบนิเวศน์  (Ecology) ระบบนิเวศน์ มอบประโยชน์ให้แก่กันและกัน  ไม่ใช่ระบบนิเวศน์แค่ในน้ำยังมีระบบนิเวศน์ในป่า  ระบบนิเวศน์บนพื้นดิน  ระบบนิเวศน์บนทุ่งหญ้า tundra  ที่เป็นระบบเยือกแข็ง  ไม่ว่าจะพูดถึงระบบนิเวศน์ส่วนใดของโลกล้วนพึ่งพากันและกัน  เด็กๆ ลองมาดูระบบนิเวศน์ในชุมชนที่เด็กอาศัยอยู่ที่พึ่งพากันและกัน   เป็นการนำเสนอที่เป็นพื้นฐานให้กับเด็ก  แต่อาจเป็นการศึกษาที่ไม่มีวันจบสิ้นเลยก็ได้
                คำสำคัญ  เช่น  symbiosis  คือ การพึ่งพาอาศัยกันเองของชีวิตแต่ละชีวิต  และความสำคัญของชีวิตเป็นประโยชน์กันและกันอย่างไร  เช่น lichen ประกอบด้วย algae ตัวให้อาหารกับเชื้อราและ fungus เชื้อรา  ถ้าไม่มีราก็จะไม่มี algaeเลย  เราจะพบในโลกของสัตว์  จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นการเดินทางของการศึกษาระบบนิเวศวิทยา



บทบาทหน้าที่ต่อจักรวาล กล่าวถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ
(Cosmic Task Including Super nature)
แผนภูมิที่วาดโดย มาริโอ้ มอนเทสซอรี่ อธิบายองค์รวม เรียกว่า แผนภูมิ
การนำเสนอบทเรียน
เชิญเด็กมาหนึ่งกลุ่มวันนี้ครูอยากให้เด็กเห็นภาพรวมสิ่งมีชีวิตในโลกของเรา  แล้วมันทำงานร่วมกันอย่างไร  มาดูสิ่งที่ศึกษาไปแล้ว เช่นดวงอาทิตย์  โลกของเราอาจมีอยู่ไม่ได้เลยถ้าขาดดวงอาทิตย์   ดวงอาทิยต์อยู่ในระยะที่ห่างไกลพอที่ให้พลังงานแก่เรา โลกโคจรทำให้โลกเหมาะที่อาศัยอยู่ในระยะที่เหมาะสมของดวงอาทิตย์   โลกเหมาะสมกับพืช  พืชจะอยู่รอดไม่ได้ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์  พืชอยู่บนดิน  ก็มีพืชในน้ำได้  พืชต้องอยู่บนดินไม่ใช่บนหิน  แล้วดินก่อกำเนิดมาอย่างไร  เห็นหินไหม  ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาที่หินวันแล้ววันเล่า  เนื่องจากว่าโลกหมุน   สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ร้อนแล้วเย็น   วันแล้ววันเล่า  หินนั้นก็แตกออกกลายเป็นดิน  เราจะเห็นว่า  พืชต้องพึ่งพิงดิน  แล้วดินต้องพึ่งพิงดวงอาทิตย์  พืชต้องพึงพิงน้ำ  น้ำมีวงจรถ่ายโอนในโลกของเรา  ในเวลาที่มีพืช  ก็มีสัตว์ในเวลานั้นด้วย  สัตว์มีลูกศรชี้ไปที่พืชและดิน  จากนั้นก็มีมนุษย์ในโลกของเรา  ดูศรชี้ไปที่พืช  สัตว์  ดวงอาทตย์  น้ำ   ดิน  นี่เป็นธรรมชาติ  การทำงานร่วมกันของทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้แต่ละชีวิตดำรงอยู่   ในส่วนด้านล่าง มีกลุ่มคนที่ดำรงอยู่ในโลก  เขาต้องพึ่งพิงธรรมชาติ  แต่มนุษย์มีศักยภาพพิเศษ เขาสามารถสื่อสาร  เขาสื่อสารกันและกันได้  เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เขาสื่อสารการสร้างบ้านเรือนได้  เขารู้วิธีการสร้างสะพานข้ามน้ำ  หรือเขาค้นพบวิธีการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้กินในเวลาที่หนาวเย็น   เราอาศัยอยู่ในธรรมชาติ  และสามารถผลิตในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ  ผู้คนในยุคนี้อาศัยอยู่ในธรรมชาติและยังต้องพึงพิงสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย  นี่เป็นการอยู่ร่วมกันในโลกของเรา 

ข้อมูลครู 
เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ไม่มีคำถาม  และไม่พูดคุยกัน  หรือเด็กอยากพูดคุยกันก็ได้ไม่เป็นไร 



วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มหากาล์ปกำเนิดชีวิต(Great Story: The Coming of Life)

การกำเนิดชีวิต(Great Story: The Coming of Life)
การนำเสนอบทเรียนเล่าเรื่องการกำเนิดชีวิตบนโลก
เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องของพืช สัตว์ และพวกเรามวลมนุษย์  เมื่อคิดย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่โลกได้กำเนิดขึ้น  เมื่อโลกยังเป็นเพียงหยดความร้อนและแสงน้อยๆ อยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย  ภายในหยดนี้มีอนุภาคเล็กๆ ที่จะสร้างจักรวาล อนุภาคแต่ละชิ้นได้รับกฎเกณฑ์ที่พวกมันต้องปฏิบัติตาม
เมื่ออนุภาคเหล่านี้เริ่มเย็นลงและเริ่มอยู่นิ่ง  นี่คือจุดเริ่มต้นของโลก เมื่อโลกเริ่มหมุนและก่อตัวขึ้น  มีอากาศบนโลก มีก้อนหินและน้ำ โลกดูเหมือนไข่มุกที่สวยงามที่ดวงอาทิตย์ชื่นชมทั้งกลางวันและกลางคืน
วันหนึ่งดวงอาทิตย์สังเกตว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลก ปัญหากำลังเกิดขึ้นบนโลก ตอนนี้เธออาจจะคิดว่าโลกมีสภาพเดียวกับโลกปัจจุบันนี้  ในช่วงเวลานั้นโลกมีความแตกต่างอย่างมาก  ถึงแม้ว่าเปลือกโลกได้ก่อตัวขึ้นแล้ว  มันก็ยังคงร้อนอยู่ พายุยังกระหน่ำและอากาศยังเคลื่อนไหวอยู่ ฝนตกมาพร้อมกับฟ้าร้องและฟ้าแลบ
ฝนตกและผ่านก๊าซในอากาศ ฝนผสมกับอนุภาคในอากาศและชะล้างหินบางส่วนทำให้ทะเลเต็มไปด้วยเกลือ น้ำนำพายุฝนกระทบหินกัดเซาะแร่ธาตุและเกลือ  ธาตุเหล่านี้ถูกสะสมลงสู่ทะเล  ไม่นานน้ำก็เต็มไปด้วยส่วนประกอบเหล่านี้ มหาสมุทรเริ่มเต็มตื้นขึ้นเรื่อยๆ
และแล้วระบบที่สร้างขึ้นก็เกิดปัญหา ใครและอะไรทำให้เป็นเช่นนั้นกันเล่า?  เอาละ เรามาจินตนาการ ละครเรื่ององค์ประกอบของโลกมีดวงอาทิตย์ น้ำ หิน และอากาศ เป็นตัวละครในเรื่องของเรา
ดวงอาทิตย์สังเกตเห็นความสับสนวุ่นวายบนโลก
ดวงอาทิตย์มองไปที่น้ำและพูดว่า “น้ำ เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งเหล่านี้ใช่ไหม”
น้ำตอบว่า “ใครนะ ข้าหรือ? ข้าแค่ทำตามกฎที่ได้รับมา ถ้าร้อน ข้าจะหายไปเพราะอากาศดึงข้าขึ้นไป ถ้าข้าเย็นลง อากาศจะปล่อยข้าตกลงมา เพราะว่าข้าคือน้ำ ข้าถูกบังคับให้อยู่ในรอยแตกและเหลี่ยมคูที่อากาศสร้างขึ้น ข้าไม่รับผิดชอบปัญหาเหล่านี้ ข้าคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของอากาศ หล่อนก่อกวนข้า ทำไมท่านไม่พูดกับอากาศดูล่ะ?
ดวงอาทิตย์หันไปเผชิญหน้ากับอากาศ “อากาศ เจ้าเป็นสาเหตุของปัญหาเหล่านี้ใช่ไหม”
อากาศแย้งว่า “เดี๋ยวก่อน ข้ายุ่งเกินกว่าที่จะทำเรื่องวุ่นวายนี้ ข้ามีกฎที่ต้องทำตาม ข้าจะมีเวลาทำเรื่องยุ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  ข้าได้รับมอบหมายให้ปกคลุมโลกด้วยผ้าห่มมากมายเพื่อที่โลกจะได้ไม่หนาว ไม่ว่าข้าทำอย่างไร โลกก็ยังมีศีรษะและเท้าเย็นเสมอ ข้าต้องไปๆ มาๆ จากศีรษะถึงเท้าเพื่อทำให้เท้าอุ่น”
อากาศพูดต่อไปว่า แล้วเจ้าน้ำโง่ทำอะไรบ้าง หล่อนปีนขึ้นมาบนหลังของข้าเพื่อให้ข้าแบก เมื่อพื้นดินราบเรียบน้ำมีน้ำหนักเบา แต่บางครั้งหล่อนหนักมากโดยเฉพาะเวลาที่ข้าต้องขึ้นไปบนภูเขา  ข้าช่วยไม่ได้ถ้าน้ำไหลผ่านนิ้วของข้า และข้าทำหล่อนตกลงไป”
อากาศยังคงปกป้องตนเอง “ข้าคิดว่าเป็นความผิดของหิน หินพวกนั้นไม่ขยับเขยื้อน บางทีพวกมันเย็นเยือกมาก เมื่อข้าผ่านไปใกล้ ทำให้ข้าขยาด บางทีพวกมันก็ร้อนมาก จนข้าต้องลอยขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกเผาไหม้”
ดวงอาทิตย์หันไปทางก้อนหิน พวกมันเริ่มปกป้องตัวเอง “เดี๋ยวนะเดี๋ยว พวกท่านกำลังมองหาอะไร กล่าวโทษพวกข้าใช่ไหม พวกข้าไม่ได้ทำอะไรยกเว้นนั่งนิ่งๆ แถวนี้  พวกข้าช่วยไม่ได้ถ้าตัวร้อนเกินไป  เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงพวกข้าก็ต้องร้อน พวกข้าจะทำอะไรได้เล่า พวกข้าถูกสร้างมาแบบนี้ พวกข้าคิดว่าเป็นความผิดของน้ำ น้ำมานั่งทับเราเวลาหล่อนต้องการ หล่อนเอาทุกอย่างที่เอาไปได้จากเราเมื่อสัมผัสขอบของเรา”
ก้อนหินยังกล่าวหาผู้อื่นต่อไปอีก “บางทีอาจจะเป็นอากาศ หล่อนมักจะอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ในรอยแตกรอยหลืบหินของข้า หล่อนรีบร้อนอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านถามเรา บางทีดวงอาทิตย์ท่านอาจเป็นต้นเหตุ...
การถกเถียงนั้นก็ดำเนินไประยะหนึ่งแล้วทั้งหมดก็ตกลงกันได้ พวกมันปฏิบัติในสิ่งที่ควรกระทำ ในสิ่งที่ควรเป็น แต่ถึงกระนั้นยังไม่เป็นระบบเช่นเดิม มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำ
ในที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่ง หยดชีวิตเล็กๆ ได้มาถึงโลก มันเหมือนกับเยลลี่หยดเล็กๆ ภายในสิ่งมีชีวิตเซลเดียวนี้ มีการตอบสนองเกิดขึ้นราวกับธรรมชาติพูดว่า “ข้าจะให้บางสิ่งบางอย่างที่ผู้อื่นไม่มีแก่เจ้า ข้าจะให้การตอบสนองโดยเจ้าจะต้องกินสิ่งที่แตกต่างไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่ ดังนั้นเยลลี่หยดเล็ก นั้นปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของมัน
ชีวิตได้กำเนิดขึ้นในหยดเล็กๆ นี้  แต่ละหยดมีกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม กิน เติบโต และสร้างสิ่งที่เหมือนตนเองขึ้น พวกมันเหมือนกับเครื่องจักรเล็กๆ มันผลิตหยดอื่นๆ ที่เหมือนมันขึ้นอีก พวกมันเติบโตขึ้นและแบ่งตัว มันทำเช่นนี้เป็นเวลายาวนาน
หยดเยลลี่จิ๋วนี้เริ่มต้นกินเกลือและธาตุต่างๆ จากทะเลจนหมดสิ้น เมื่อกินอาหารก็สร้างร่างกายขึ้น บางตัวก็สร้างเปลือกเพื่อป้องกันเกลือทะเล เมื่อมันตายร่างจมลงใต้ทะเลแต่ละชั้นๆ คล้ายหน้าหนังสือซึ่งแสดงวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้น เราคิดว่านี่คือหน้าต่างๆ ของหนังสือของโลก หน้าหนังสือบางหน้ายังคงอยู่ทุกวันนี้และช่วยเราบอกเล่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วก่อนที่มีใครเกิดมา
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี้ถูกสร้างขึ้นจากเซลล์หนึ่งเซลล์ ทำงานทั้งหมดนี้คือ กินและหายใจ กำจัดสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการให้เป็นขยะ พวกมันลอยล่องทำความสะอาดน้ำในทะเล เวลาผ่านไป และเหมือนสิ่งมีชีวิตเหล่านี้พูดว่า “ทำไมเราไม่รวมตัวกันเพื่อเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น?” ดังนั้นพวกมันบางตัวได้รวมกันเพื่อแบ่งเบาภาระพวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น สร้างขึ้นจากเซลล์หลายๆ เซลล์ เลี้ยงตนเองด้วยเกลือจากทะเลและสร้างตัวอื่นๆ ที่เหมือนพวกมันขึ้น
เวลานานผ่านไปบนโลก เมื่อถึงจุดหนึ่งราวกับว่าพวกมันบางตัวคิดว่า “แทนที่แต่ละเซลล์จะทำสิ่งเดียวกัน เราสามารถเปลี่ยนแปลงและให้แต่ละตัวทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง” ดังนั้นในสิ่งมีชีวิตหนึ่งตัว เซลล์บางส่วนเข้าแถวกันเพื่อการหายใจ บางส่วนเพื่อการกินอาหาร และตัวอื่นๆ เข้าแถวกันเพื่อทำการเคลื่อนไหวไปมา
จึงเกิดสิ่งมีชีวิตที่มีแขน ขา หัวใจ ปอด ปาก และอวัยวะต่างๆ เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตาย พวกมันทิ้งร่างกายไว้บนชั้นต่างๆ ใต้ทะเล
เมื่อหนังสือของโลกเปิดขึ้นหน้าแรกๆ ที่เราอ่านจะบอกเราเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้
เปิดแผนภูมิเวลาเพื่อแสดงช่วงแรก ยึดส่วนท้ายให้อยู่กับที่โดยใช้ก้อนหินหรือถุงทราย ขณะที่คุณเล่าเรื่องชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องบนแผนภูมิเวลา ขณะที่เล่าเรื่องเปิดแผนภูมิเวลาต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่เด็กๆ เห็นที่นี่ ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน บางชนิดสูญพันธ์ไปแล้ว
ชี้ไปที่ยุคแคมเบรียน เจาะจงไปที่อะมีบา สาหร่าย ฟองน้ำ แมงกะพรุน และแมลงทะเล (ไทรโลไบท์)  ตรงนี้คืออะมีบา  มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียวที่ทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ตรงนี้คือ Flagellate  สองสิ่งนี้ที่ดูเหมือนแส้นี่แสดงให้เห็นว่ามันเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างไร ถึงแม้ว่ามันจะมีเซลล์เดียว
นี่คือฟองน้ำ ประกอบด้วยเซลล์เหมือนกันหลายเซลล์และทำงานเหมือนกัน ดอกไม้น้ำขึ้นอยู่บนก้อนหิน มันทำให้น้ำเคลื่อนไหวโดยใช้แขนเพื่อจับอาหารกิน
มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เราเห็นบ่อยครั้ง มันเป็นสัตว์ที่คล้ายกับกุ้งมังกรที่เรามีในปัจจุบัน พวกมันคือไทรบิโอไลท์ (แมลงทะเล) เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ไปมาในทะเลและเติบโตขึ้นมีขนาดต่างๆ กัน เดี๋ยวนี้พวกมันสูญพันธ์ไปแล้ว
ชี้ไปที่ปลาหมึก ลิลลี่ทะเล หรือ Crinoids
เมื่อเวลาผ่านไป สัตว์ทุกชนิดได้กำเนิดขึ้น หลายๆ ชนิดทดลองการมีชีวิตอยู่ บางชนิดมีเท้าที่หัวของมันเหมือนพวกปลาหมึกทะเลพวกมันดูเหมือนดอกไม้ มันคือลิลลี่ทะเล (หรือ Crinoids) ที่ดูคล้ายกับดอกไม้แต่พวกมันไม่ใช่ดอกไม้ มันคือสิ่งมีชีวิตที่สร้างร่างกายขึ้นด้วยห่วงหินเพื่อปกป้องตนเอง ส่วนที่เหมือนกับปีกนกคือส่วนที่โบกพัดไปมาในน้ำเพื่อจับอาหารที่ผ่านไปมา
ชี้ไปที่พืชลองอยู่บนพื้นดิน, การเริ่มมีปลา
ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ เหล่านี้ มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดแทนที่จะกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นอาหาร พวกมันสร้างอาหารของตัวเองด้วยเกลือจากนั้นและแสงแดด เมื่อพวกมันล่องลอยอยู่ในทะเล สัตว์เหล่านี้ลองขึ้นจากน้ำมาสู่บก  ในเวลาที่กระแสน้ำขึ้นสูงพวกมันถูกพัดพาไปที่ชายฝั่งทะเล ก่อนกระแสน้ำนำมันกลับคืน อากาศที่มีอยู่เหนือน้ำเต็มไปด้วยก๊าซที่สามารถใช้ทำอาหารของมัน เพราะเหตุนี้พวกมันคงเลี้ยงดูตัวมันเองได้  เมื่อพวกมันตายร่างกายของมันเป็นรากฐานที่เตรียมสู่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่จะตามมา นี่เป็นครั้งแรกที่สิ่งมีชีวิตลองอยู่บนพื้นดิน โดยค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้เองจึงเป็นอะไรที่พัฒนาไปเป็นพืชพันธ์ชนิดแรก เราดูจุดเริ่มต้นของพืชที่จุดนี้
ในขณะนั้นสิ่งมีชีวิตสองประเภท (ปะการังและสิ่งมีชีวิตคล้าปลา) เกิดขึ้นในทะเล เมื่อปะการับตาย ร่างกายของมันสะสมกลายเป็นพื้นดิน เธอดูที่ตรงนี้และตรงนี้ นอกจากนั้นสัตว์เล็กๆ ที่แปลกประหลาดนี้มีแกนอยู่ภายในร่างกายของมันเอง สิ่งมีชีวิตบางอย่างก็มีเปลือกเช่นปะการังแต่ตัวนี้มีแกนอยู่ข้าใน ทีนี้เรามาดูสัตว์พวกแรกที่มีกระดูก ด้วยระยะเวลาสัตว์เหล่านี้พัฒนาหางและครีบและกลายมาเป็นปลาพวกแรก  สัตว์ที่เป็นปลาพวกแรกในครั้งนั้นแตกต่างจากปลาพวกแรกที่เราพบเห็นในทุกวันนี้
ชี้ไปที่ ปลา พืช แมลง และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
เมื่อการทดลองเหล่านี้กลายเป็นผลสำเร็จ เกิดสัตว์หลากหลายชนิดเติบโตพัฒนาขึ้นในทะเล บางชนิดมีเราะที่แข็งแกร่ง เช่น (ปลาหุ้มเกราะ) บางตัว(ปลากระเบน) ฝังตัวอยู่ในทรายและรอเวลาให้สัตว์อื่นเข้ามาหาเพื่อที่จะจับเหยื่อ
ค่อยเป็นค่อยไป แผ่นดินเริ่มโผล่ขึ้นมาและทะเลบางแห่งก็จมลง เกิดการตัดขาดของทางน้ำที่จะไหลกลับสู่ทะเล พื้นน้ำบางแห่งที่ถูกตัดทางน้ำก็จะแห้งขอดเพราะปริมาณน้ำฝนที่ตกมาน้อยมาก สิ่งมีชีวิตมีความต้องการน้ำ พวกมันมีทางเลือกสองทางคือ ตายหรือหาวิธีปรับตัวให้เข้ากับที่แห่งนั้น สัตว์จำนวนมากได้ตายไป แต่บางพวกก็หาทางแก้ปัญหาได้
ปลาส่วนที่ถูกกัก มันต้องหาวิธีที่จะเอาตัวรอด บางตัวกล่าวว่า “ข้าจะสร้างถุงภายในกายของข้าและกันน้ำไว้ นั่นเป็นวิธีที่ข้าจะหายใจเหนือน้ำ นี่เป็นวิธีของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นสัตว์ที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำและบนบกได้ ด้วยเหตุนี้ครีบจึงเปลี่ยนเป็นขาเพื่อเดินบนบกได้
สัตว์จำพวกกบและสัตว์จำพวกกิ้งก่าได้พัฒนาและพวกมันนำมาซึ่งเสียงแรกบนแผ่นดินโลก ก่อนหน้านั้นมีแต่ความเงียบยกเว้นเสียงของฝนและก้อนหินหล่น ความเงียบได้ถูกทำลายลงในที่สุด ขณะนี้มีแต่เสียงร้องระงมของกบและเรายังสามารถได้ยินเสียงแรกนั้นจนทุกวันนี้

ชี้ไปที่พืชหลากหลาย แมลง กบ การเริ่มต้นของสัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีชีวิตชีวาอยู่บนบกได้เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแมลงและพืชที่กินได้ พืชก็มีชีวิตชีวาบนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์และสามารถให้ผลผลิตที่มากมายและหลากหลาย แต่เชื่อไหมว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง เนื่องจากผิวหนังที่ถูกสร้างให้ต้องอยู่ใกล้น้ำและต้องวางไข่ในน้ำด้วย บางพวกเริ่มเหนื่อยอ่อนกับสิ่งนี้ พวกมันต้องการที่จะไปไกลๆ จากน้ำและขึ้นบนบกไปไกลๆ ได้ เธอคิดว่าพวกมันทำอะไร? พวกมันพัฒนาผิวหนังเพื่อมิให้แห้งแม้ภายใต้รังสีของดวงอาทิตย์ สำหรับไข่ของพวกมัน มันก็พัฒนาเปลือกหุ้ม
ชี้ไปที่ สัตว์เลื้อยคลาน, ชีวิตโลกที่แพร่ขยาย
จากการทดลองเหล่านี้ สัตว์ชนิดใหม่จึงปรากฏให้เห็น..สัตว์เลื้อยคลาน
คราวนี้เราเห็นสัตว์เลื้อยคลานเกิดขึ้นแล้ว ด้วยรูปแบบใหม่ของผิวหนังที่ไม่แห้งและไข่มีเปลือกหุ้ม สัตว์เลื้อยคลานสามารถไปไหนมาไหน ได้อย่างอิสระมาก  พวกมันเข้าครอบครองพื้นที่ใหม่ได้และพวกมันก็ได้ทำโดยไม่มีใครสามารถหยุดพวกมันได้ เป็นเวลานานมาแล้วสัตว์เลื้อยคลานกลายเป็นเจ้าของที่ดินและเจ้านายของแผ่นดิน พวกมันบุกรุกทุกแห่งที่ทั้งพื้นดินและแม้กระทั่งในอากาศ ขณะที่พวกมันมีโครงกระดูกที่รองรับน้ำหนักของพวกมันได้  บางตัวเติบโตมีขนาดใหญ่มโหฬาร บางตัวมีขนาดใหญ่มากเวลาที่มันเดิน  พื้นดินก็จะสั่นสะเทือน
ดูตารางที่ 3H



ดูตารางข้างบนนี้ สัตว์เลื้อยคลานนี้มีขนาดยาวประมาณ 80 ฟุต เธอคิดออกไหมเมื่อขนาดใหญ่ของมันเทียบกับมนุษย์ มันใหญ่จนต้องมีสมองสองชุด ชุดเล็กอยู่ด้านหลังในส่วนหางของมันเพราะว่าหางมันอยู่ห่างมากจากด้านหัว วิธีนี้ถ้ามีอะไรมากัดหางของมัน มันก็จะรู้ได้
ดูตารางที่4H


ลองมองดูไดโนเสาร์ตัวนี้ดูหัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะมนุษย์  ลองจินตนาการดูสิว่าพื้นดินจะสั่นสะเทือนขนาดไหน ตอนที่สัตว์เลื้อยคลานตัวนี้เดินไปเดินมา


ชี้ไปที่ไดโนเสาร์ พืชมากมาย นก จุดเริ่มต้นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นพื้นที่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่พวกนี้ สัตว์ตัวเล็กๆ อื่นๆ จึงไม่มีโอกาส พวกมันมักจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ตัวยักษ์พวกนี้  สัตว์ขนาดเล็กจำนวนหนึ่งอพยพไปอาศัยอยู่ในบริเวณที่หนาวเย็นกว่าที่ที่สัตว์ใหญ่พวกนั้นไม่ไป พวกมันอาศัยอยู่ที่นั่นแม้ว่าจะไม่ค่อยมีอาหารให้กินสักเท่าไหร่ บางตัวแอบขโมยกินไข่ของสัตว์ตัวอื่นที่ไม่ได้นั่งกกไว้
สัตว์ที่โยกย้ายไปอาศัยอยู่ในพื้นที่มีอากาศหนาวจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากอากาศที่หนาวเย็น พวกมันพัฒนาคน ขนปีก และเลือดอุ่นเพื่อช่วยให้มีชีวิตรอด สิ่งมีชีวิตพวกนี้กลายเป็นนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มแรก เนื่องจากพวกมันจำเป็นต้องปกป้องดูแลไข่ของพวกมันจึงไม่ทิ้งไข่ไว้ลำพังในที่ต่างๆ นกไม่สามารถนำไข่บินไปด้วยได้ มันจึงสร้างรังเพื่อวางไข่ มันทำให้ไข่ของมันอุ่นโดยใช้ความอุ่นจากร่างกายมันกกไข่ เมื่อลูกอ่อนออกมาจากไข่ พ่อแม่ของมันจะคอยให้อาหารและป้องกันภัย
ชี้แนะไดโนเสาร์หายไปจากโลก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ยุคน้ำแข็ง
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพัฒนาให้ไข่เจริญเติบโตภายในร่างได้ พวกมันเก็บไข่หรือตัวอ่อนไว้จนกว่าตัวอ่อนจะมีความพร้อมที่จะออกมาพบสิ่งภายนอก เมื่อตัวอ่อนคลอด แม่ของมันจะป้อนนมเป็นอาหารให้แก่มัน นี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่มีสัตว์ใดทำมาก่อน พ่อแม่จะคอยดูแลมันจนกว่ามันจะพร้อมดูแลตนเองได้ แต่ในทางตรงข้าม ตัวอ่อนของสัตว์เลื้อยคลานมักจะถูกกินจากการที่มันถูกทิ้งให้ป้องกันตัวเอง
ในเวลาที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้น สภาพอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ไม่มีขนนก ขนหรือเลือดอุ่นต่างล้มตายไป เราคิดว่าด้วยสาเหตุที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มยึดครองปลาวาฬและช้างที่มีงาใหญ่โตเริ่มปรากฏขึ้น อากาศยังคงหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ แผ่นน้ำแข็งเริ่มคลอบคลุมพื้นดิน สัตว์ขนาดใหญ่มากมายล้มตายไปเพราะความหนาวเย็นและความทรมานที่ทนไม่ไหว



ชี้ไปที่มนุษย์เกิดขึ้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดของความหนาวเย็นนี้สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้ปรากฏขึ้น พวกนี้ไม่มีขนหนา หรือเขี้ยวที่แหลมคมหรืองา หรือกรงเล็บใหญ่ แต่มีสิ่งแตกต่างออกไป คือมีสมองใหญ่กว่า ที่ให้พลังคิดและจินตนาการ สัตว์ชนิดนี้มาพร้อมความรักเปี่ยมล้น ด้วยพรสวรรค์นี้จึงเกิดเป็นมนุษย์ ความรักนี้เป็นความรักที่พิเศษเพราะไม่ใช่เพียงความรักที่มอบให้แค่เพียงลูกของตัวเอง แต่เป็นความรักที่สามารถมอบให้ได้ต่อผู้ชาย ผู้หญิงหรือเด็กๆ ที่อาจไม่เคยได้พบกันมาก่อน ดูเหมือนว่าโลกจำต้องใช้เวลานานในการเตรียมเพื่อมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางมาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่มนุษย์จะเกิดขึ้นในช่วงแรกก่อนหน้านี้ มนุษย์คงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ แต่ ณ บัดนี้ทุกๆ อย่างดูเหมือนว่าพร้อมแล้ว ราวกับโลกกล่าวว่า “ฉันได้ปูพรมหญ้าหนานุ่มให้เธอเพื่อเท้าของเธอจะเดินไปได้ ฉันได้ติดดอกไม้บนผมเธอและคลุมตัวเองด้วยเพชรพลอยต่างๆ ตู้เก็บของเต็มไปด้วยนม น้ำผึ้ง และผักต่างๆ ในห้องใต้ดินมีถ่านหินและเหล็ก ตอนนี้ทุกๆ อย่างพร้อมเพื่อให้เธอมาได้แล้ว นี่ไม่ใช่การสิ้นสุดของเรื่องราวของโลก ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เล่าต่อ เราจะค่อยๆ สำรวจต่อไป
ตอบคำถามอะไรก็ตามที่เด็กมี วางแผนภูมิเวลาทิ้งไว้เพื่อให้เด็กได้ดูอีกระยะหนึ่ง เด็กๆ สามารถสำรวจเพิ่มเติมรายละเอียดตามต้องการในวันหลัง เมื่อเล่าเรื่องราวให้เด็กฟังต่อ
พอครูเล่าเรื่องเสร็จแล้ว  ครูก็หยุดสักครู่หนึ่งปล่อยให้เด็กได้คิด ใคร่ครวญอยู่กับตัวเอง  เพราะเรื่องราวนี้มีความรู้สึกมากมาย  ปล่อยให้พลังเหล่านี้ได้ออกมา 
ข้อมูลสำหรับครู
                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 ในหลักสูตรมอนเทสซอรี ดังนั้นเป็นมหากาล์ป ครูจะต้องเชิญเด็กทุกคนให้มานั่งฟัง  ทุกคนที่สนใจ  ก็ควรจะมีช่วงเว้นวรรคระหว่างเรื่องกำเนิดสิ่งมีชีวิต และเรื่องกำเนิดมนุษย์  และต้องมีการนำเสนอแถบดำมาแล้ว  จำไหมว่าครูจะต้องให้เวลากับเด็กได้คิด ใคร่ครวญ เมื่อเล่าจบก็ไม่ต้องตั้งคำถาม  แต่ฟังสิ่งที่เด็กพูด  เล่าเรื่องนี้ควรเป็น สัปดาห์ที่ 2หรือ 3 ของเทอม  การเล่าเรื่องนี้เป็นการเปิดประตูสู่งานหมวดประวัติศาสตร์  ในการเล่ามหากาล์ปเรื่องนี้ก็ควรเป็นโน้ตติดตัวครูได้แต่อย่าอ่านให้เด็กฟัง ใช้เป็นแนวทางในการแต่งมหากาล์ปของเราเอง  เป็นสิ่งสำคัญมากที่ครูให้เด็กนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องมหากาล์ป 2 เรื่องก่อน  เนื่องจากว่าเรานำเสนอจักรวาลให้กับเด็กให้เด็กนึกเชื่อมโยง  นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราย้อนกลับไปถึงกำเนิดโลก และกำเนิดจักรวาลเพื่อให้เด็กนึกถึงด้วยเช่นกัน  อีกใจความสำคัญหนึ่งคือ  สัตว์ชินิดอื่นๆ มีวิถีทางดำเนินชีวิตที่ถูกกำหนดมา  พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอย่างเดียวกับอาจารย์  ทำไมว่าเราพูดถึงเกี่ยวกับบ้าน  สิ่งที่เราต้องเน้นคือมนุษย์มีทางเลือก  เราจึงพูดถึงว่ามนุษย์มีบ้านที่แตกต่างหลากหลาย  เราอาจยกตัวอย่างที่ไกลจากท้องถิ่นเรา  เช่น มนุษย์ก็ยังอาศัยอยู่ในเต็นท์อยู่นะสำหรับบางคน  ใจความที่สำคัญที่สุดของเรื่องคือพร 2 ประการ  เราจะต้องเน้นที่ว่าความคิดของมนุษย์ว่าเราสามารถคิดใคร่ครวญได้  พวกเราเชื่อว่าสัตว์คิดไม่ได้  มียุคหนึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีมนุษย์เท่านั้นที่คิดเป็น  และมนุษย์เพียงผู้เดียวเช่นกันที่ใช้เครื่องมือเป็นคนเดียว  แต่มันไม่ใช่ความจริง  นกยังใช้เครื่องมือในกินแมลง  นี่คือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์สามารถคิดจินตนาการได้ คิดใคร่ครวญ และคิดถึงอนาคตได้  ทำไมมนุษย์ต้องเล่าสู่กันและกัน  เพราะการสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์  พรในการสามารถรักได้  ดร.มอนเทสซอรี  ความรักเหล่านี้คือเป็นการแสดงเจตจำนงเป็นการตัดสินใจเลือก  ซึ่งการเลือกนั้นเป็นการเลือกสิ่งที่ อาจเป็นมนุษย์ที่เราไม่เคยพบมาก่อน หลายครั้งเด็กตระหนักถึงเรื่องเลวร้ายของผู้อื่นเขาก็อยากจะมอบสิ่งที่ดีให้กับบุคคลเหล่านั้น  อาจารย์รู้ว่าหลายคนที่อเมริกาช่วยเหลือคนที่ถูกน้ำท่วมที่ประเทศไทย  ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือให้เด็กตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คน  เด็กอาจไม่จำเป็นต้องส่งเงินมาช่วยเหลือ แต่สิ่งจำเป็นต้องให้เด็กได้คิดว่าถ้าเป็นตนเองที่ถูกน้ำท่วมบ้าน  และธุรกิจจะเป็นอย่างไร 
นอกจากพร 2 ประการแล้วก็ยังมีมืออีก เราต้องให้เด็กเข้าใจความพิเศษของมือ  เราพูดเล็กน้อยว่ามือมีผลต่อชีวิตประจำวันอย่างไร  เมื่อเราทำงานต่อๆ ไปในงานประวัติศาสตร์ พร 2 ประการบวกกับมือของมนุษย์ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์มากมาย  มนุษย์เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นความพิเศษ ให้เรามองย้อนที่เรามีอะไรพิเศษบ้างที่จะมอบให้กับผู้อื่น  มอนเทสอซอรีคิดถึงเรื่องนี้  เราจึงจำเป็นต้องเคารพตัวเองและเพื่อที่จะมอบให้กับผู้อื่น  มอนเทสซอรีคิดถึงพรแห่งความรักว่าเราตัดสินใจเลือกที่จะมอบให้กับผู้อื่นหรือไม่   เพื่อให้เด็กกลับไปคิดถึงตนเองว่าจะมอบความรักให้ผู้อื่นหรือไม่  เราไม่ต้องอบรมเด็กว่าเธอต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้  เราต้องเล่าให้น่าสนใจเด็กก็จะกลับไปคิดด้วยตนเอง   เรื่องนี้ไม่มีแผนภูมิประกอบ




ข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดชีวิต(Note on Coming of Life)
ให้จำแผนภูมินี้อยู่ในหัว  เรื่องเล่าไม่ใช่วิธีการบอกชื่อสัตว์ให้กับเด็ก  ไม่ใช่มหากาล์ปที่งดงามยิ่งใหญ่เพียงเท่านั้นแต่เป็นการผสมรวมของทั้งสองอย่าง  จะมีการถักทอแนวความคิดและความจริง แนวคิดแรกคือความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและชีวิต  เช่น กำเนิดของชีวิตเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการแก้ปัญหา  ไม่สำคัญว่าต้องเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า  นี่เป็นวิธีที่มอนเทสซอรีต้องการมอบให้กับเด็ก 6 ปี  เพื่อให้เด็กเข้าใจว่าชีวิตคือขบวนการที่เริ่มต้นขึ้นมานานมากแล้ว  เริ่มตั้งแต่กำเนิดของโลก  และเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้  มนุษย์มีกฎระบบระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตามด้วย นี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวเรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นจากการถกเถียงกันระหว่างน้ำ ดิน อากาศ นี่คือการเน้นให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีธรรมชาติของตนเองและต้องปฏิบัติตามกฎด้วย แสดงว่าเมื่อแรกเริ่มก็มีกฎระเบียบเกิดขึ้นแล้ว  แต่ก็มีข้อมาขัดจังหวะมัน  นี่เป็นสารที่ต้องส่งไปถึงเด็ก  เรื่องราวเกี่ยวกับพัฒนาการชีวิตเป็นสิ่งที่เราจะมอบให้กับเด็ก  ทำให้เด็กเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้มีบทบาทด้วย  ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล  แนวคิดนี้ทำให้เด็กเข้าใจศูนย์กลางของโลก  ดังนั้นสติปัญญาของเด็กจึงไม่คิดไปในที่ไม่มีเป้าหมาย  เด็กจึงเข้าใจว่าทุกอย่างในโลกเชื่อมโยงกันทั้งหมด  เมื่อเรามอบกรอบแนวคิดนี้ให้กับเด็ก  เด็กก็เข้าใจว่าเข้าอยู่ส่วนใดของโลก  เด็กเข้าใจว่าทำไมว่าเรามาอยู่ตรงนี้  จุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร และความหมายของชีวิตคืออะไร ดังนั้นการเล่ามาหากาล์ปช่วยเด็กหาคำตอบธรรมชาติของเขาด้วยตนเอง ครูมีบทบาทให้เด็กเข้าใจว่าตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม  อีกแนวความคิดหนึ่งที่จะให้เด็กเข้าใจว่าเมื่อสิ่งมีชีวิตกำเนิดมาในโลก.. สิ่งที่มีชีวิตที่มีเซลล์เดียว  เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มารวมตัวกันเป็นสัตว์เซลล์เดียวเช่น  ตัวฟองน้ำ  multicelซึ่งก็หมายถึงว่ามันมีบทบาทหน้าที่ในตัวมัน  ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่หลากหลายแตกต่าง  ชีวิตเหล่านี้เตรียมการให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้อยู่อาศัย  อีกแนวคิดสำคัญทั้งพืชและสัตว์ชนิดต่างๆ ล้วนมีแรงขับเพื่อการอยู่รอด  เมื่อสิ่งมีชีวิตรับเอาสิ่งเพื่อความอยู่รอดก็ช่วยเหลือผู้อื่น  มาริโอ มอนเทสซอรี กล่าวว่าทำไมเราต้องเล่าเรื่องนี้ให้เด็ก  เราต้องการแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของการกำเนิด  พืชพรรณต่างๆ มาอยู่บนบกและใช้ก๊าซต่างๆ มันเป็นการเตรียมการสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ  พืชพรรณเหล่านั้นก็คายออกซิเจนออกมา  มนุษย์ก็ต้องการออกซิเจนเพื่อการหายใจ  ทุกชีวิตเกิดขึ้นเพื่อผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัว  มาริโอยังกล่าวอีกว่า เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก  นี่คือวัตถุประสงค์ของมหากาล์ปเรื่องนี้  ไม่ใช่ให้เด็กจดจำว่าไดโนเสาร์พันธ์อะไรสูญพันธ์ไปช่วงเวลาไหน 
เริ่มแรกเราต้องบอกว่าครูจะเล่า  ครูเชิญเด็กทุกคนมาฟัง  ครูนั่งอยู่กับเด็ก  โดยปกติครูนั่งตรงข้ามกับเด็ก  แล้วแต่สะดวกหรือให้เด็กนั่งรอบตัวเราก็ได้  แต่อย่างเพิ่งบอกชื่อใหม่ให้กับเด็ก  เดี๋ยวตอนที่โชว์แผนภูมิแล้วครูยังไม่ได้ให้ข้อมูลมาตัว  ครูอาจปรับปรุงเรื่องราวเหล่านี้ได้  แต่เราจำเป็นต้องศึกษาอย่างดีก่อน   ถ้าหากพวกเราจะเขียนในรูปแบบของเราเองก็ต้องมีใจความเหล่านี้อยู่ด้วย
ประเด็นแรก คือสัตว์เชลล์เดียวเกิดขึ้นเพื่อความสับสนอลม่านของโลก สัตว์เซลล์เดียวเริ่มทำความสะอาดทะเล โดยการเปลี่ยนโลกที่ถูกชะล้างอยู่ในมหาสมุทร พูดถึง 3 สถานะ สำหรับชีวิตก็ได้รับลักษณะเฉพาะเช่นเดียวกัน  สามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองได้  มันจำเป็นต้องกิน และสามารถแบ่งตัวออกมาได้  นี่คือสาเหตุว่าทำไมสำหรับปะการังที่เติบโตแล้วแบ่งตัวอย่างมาก เราต้องการตอบสนองต่อพัฒนาการระนาบที่2 
ประเด็นที่สองใจความสำคัญอีกอย่างคือสัตว์หลายเชลล์ซึ่งมีอวัยวะ  การที่สิ่งมีชีวิตเริ่มมีอวัยวะต่างๆ ทำให้มีการทำงานดียิ่งขึ้น 
ใจความสำคัญประเด็นที่สาม  คือเริ่มบุกรุกบนบก พูดถึงพืช  แมลง  สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ  ในเรื่องราวเจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำถูกผลักไสให้ไปอยู่บนบกเพราะว่าน้ำเริ่มเหือดแห้ง เด็กก็จะรับรู้ถึงปัญหาที่ต้องรับการแก้ไข
ใจความสำคัญประเด็นที่ 4 ชีวิตเริ่มมีพัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลง  จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพัฒนาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน  คิดไหมว่าเรื่องนี้จะดึงดูดความสนใจเด็กได้มากน้อยแค่ไหน  สัตว์ครึ่งบกครึ่งนี้ที่ไม่ต้องการให้ผิวหนังแห้ง ข้อจำกัดของสัตว์เลื้อยคลานคือต้องการที่อยู่อาศัยที่อบอุ่นและการหาอาหาร 
ประเด็นที่ 5 พูดถึงนกและสัตว์เลือดอุ่น  สัตว์สองชนิดนี้เข้ามาในโลกต้องการสิ่งที่ให้ความอบอุ่น    สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดดูแลตัวอ่อนของมัน  เราจะไม่พูดถึงสัตว์ที่ไม่ได้ดูแลตัวอ่อน  เพราะว่าเราต้องการให้เด็กกลับไปคิด 
ใจความประเด็นสุดท้ายก็ปรากฏมนุษย์ขึ้นในโลก  พอมาถึงจุดนี้เราก็ชี้ให้เห็นว่าเราถูกปกป้องน้อยมาก เช่นว่าเราไม่มีขน ปีก เขี้ยว  งา  แต่เรามีศักยภาพในการคิด จินตนาการ สติปัญญา และใคร่ครวญได้ เรามีสิ่งนี้มากกว่าสัตว์อื่นๆ และมนุษย์ก็มีความรักเป็นพิเศษ  มีคำถามยอดฮิตของผู้คนว่าแผนภูมิที่ถูกต้องเป็นแค่ไหน  มีเวลาที่ระบุในแผนภูมิว่าเที่ยงตรงหรือไม่  แต่ความแม่นยำนั้นไม่สำคัญ  เราเพียงแค่ให้เด็กเห็นภาพ  ภาพของสิ่งชีวิตกำเนิดบนโลกใบนี้  และภาพว่าโลกใบนี้มีการเตรียมการมากน้อยแค่ไหนก่อนที่มนุษย์จะกำเนิด  ถ้าครูเล่าอย่างสนุกสนาน  แล้วเด็กก็จะคิดได้มากมาย  เมื่อเด็กสนใจแล้วเขาก็จะไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างมากมาย  เกี่ยวกับพัฒนาการสิ่งมีชีวิตบนโลก  ตอนนี้เราต้องการให้เด็กคิดและเห็นด้วยตนเองว่าเขาควรเชื่อทฤษฎีไหน  เราต้องเล่าเรื่องนี้ปีละหนึ่งครั้ง  และต้องเชิญเด็กใหม่ให้มาฟัง  แต่เด็กเก่าที่ฟังแล้วอาจมาฟังอีกก็ได้    เราต้องเตรียมอย่างดี  อย่ามานั่งอ่านเสียงโทนเดียวมันจะน่าเบื่อ  เล่าให้สนุก  ไม่จำเป็นต้องชี้ทุกรูปในแผนภูมิ  เมื่อเราเล่ามหากาล์ปนี้จบแล้วเรานั่งอยู่กับเด็กสักพักหนึ่ง  ให้เด็กมองแผนภูมิ ไปรอบ  เด็กอาจถาม  ครูจะยังไม่ถามคำถามใดๆ กับเด็ก  ถ้าหากเด็กถามคำถามคร่าว  แต่เราต้องจดจำคำถามนั้นๆ ไว้  ครูเพียงบอกเด็กว่าให้จำคำถามนี้ไว้ครูจะมาเล่าให้ฟังในวันหลัง  เวลาเก็บแผนภูมิให้ม้วนกลับจากด้านที่เป็นมนุษย์  อาจารย์จะใช้ก้อนหินสวยๆ ทับ  ควรเก็บในที่เด็กสามารถหยิบมาดูตอนไหนก็ได้  ครูจะต้องนำเสนอแผนภูมิเวลาต่อจากนี้ครูก็เสนอบทเรียนต่อเนื่อง  ครูสามารถเลือกบทเรียนไหนก็ได้  เช่น ในยุคแคปเรียน   ในยุคหลังจากนี้คือแผ่นไทรโรเปียน  ครูอาจเล่า โดยปกติเด็กชอบน้ำเกี่ยวกับแท่งน้ำแข็ง  ครูก็เล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคน้ำแข็ง  เราค่อยๆ ตามดูที่เส้นสีแดง  เริ่มมี โทรโรไบตัวแรกของโลก  เส้นสีแดงที่สูงขึ้นหมายความว่ามีไทรโรไบเป็นจำนวนมาก  เมื่อเส้นสีแดงลดลงต่ำลงหมายความว่าไทโรไบลดจำนวนลงไปจนถึงสูญพันธ์ไปในที่สุด  
ครูอย่าลืมพืช  ในยุคสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเราก็พบพืชบ้าง  บางชนิดก็สูญพันธ์ไปบ้างแต่บางชนิดก็ยังมีอยู่ในทุกวันนี้   เส้นสีที่แทนถ่านและเหล็ก    เราสอนที่มาของชื่อยุคเหล่านั้นด้วย  เช่น ยุคแคบเรียนก็มาจากประเทศอังกฤษที่พบเจอซากฟอสซิลมากมายในยุคนั้น   คาร์บอนก็  พืชมาจากคาร์บอน  เราอาจนำเสนอชื่อของสัตว์ต่างๆ ที่น่าสนใจได้  ซึ่งหมายถึงมือและเท้าที่ไปติดอยู่บนหัว   ให้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมากๆ เพื่อให้เด็กสนใจงานนี้  อย่าลืมภาพรวมของงานชิ้นนี้   ดังนั้นบทเรียนต่อเนื่องครูสามารถตอบคำถามเด็กในเวลานี้ได้  เราต้องทำให้เด็กสนใจอยากทำงานนี้   เมื่อเด็กมาบอกว่าอยากทำแผนภูมินี้   เราก็รีบอนุญาตให้ทำทันทีเลย  เพราะว่าการคัดลอกเด็กไม่ต้องคิดอะไรเลยก็ได้  เด็กบางคนสนใจไดโนเสาร์เป็นพิเศษ  ครูบอกเด็กว่าให้หนูไปทำแผนภูมิในยุคที่เป็นสีส้ม   เพราะครูใช้เวลาหาเท่าไรก็หาไม่เจอ  เพราะมันมีไดโนเสาร์ที่ดุร้ายมากมาย  เด็กก็ต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม  ต้องใช้ความคิดเพื่อเพิ่มเติม  งานนี้เด็กต้องใช้ศิลปะอย่างมากมายหลายอย่างทีเดียว  เด็กอาจแต่งเพลง แต่งกลอน  อะไรก็ได้ที่เด็กคิด  หรือครูคิดเพิ่มเติมได้เลยจากแผนภูมินี้ 



บางครั้งอาจารย์ใช้แผนภูมิ H7 H8  เล่าต่อจากมหากาล์ป    และครูอาจใช้แผนภูมินี้โดยการใช้ยางลบ ลบ ทุกสิ่งทุกอย่างออกไป  เราเรียกว่าแผนภูมิเวลาว่าง  มีกระดาษทีละใบสำหรับสัตว์ทีละชนิด ทุกอย่างแยกอยู่ในกระดาษทีละใบ  ทุกอย่างทุกชิ้นถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ จัดวางไม่ให้สับสน  วางไว้ในแผนภูมิเวลาว่าง  แล้วนำมาวาง  
หมายเหตุ
แผนภูมิด้านล่าง  สีดำแทนพื้นดินในปัจจุบัน  สีแดงแทนพื้นดินในยุคก่อน   พื้นดินเขยิบตัวไปเรื่อยๆ เป็นล้านๆ ปี  ภูเขามาจากพื้นดินที่ดันตัวขึ้นไป  ภูเขาเกิดในยุคน้ำแข็ง  แล้วมีคำอธิบายอยู่ในแผนภูมิ  ทั้งครูและเด็กก็มาอ่านได้









วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สองชีวิต

ชวนอ่าน"สองชีวิต"หนึ่งโศกนาฏกรรม...เส้นทางของชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
......................................................................
โลกดูไม่สวยงามอย่างที่คิด สองชีวิตเล่าเรื่องราวเศร้าสับสน โลกกว้างใหญ่มากมายหมื่นล้านคน คนอับจนอยู่โลกหนึ่งซึ่งเดียวดาย
..........................................................
แม้นเกิดในตระกูลดีที่สูงศักดิ์ ชีวิตหักเหไปไร้จุดหมาย ความผิดพลาดขาดอภัยใจวอดวาย เลือกทางตายแสนหดหู่จะสู้ทน
..................................................................
อยากขอเตือนแม่พ่ออย่าท้อจิต ลูกพลาดผิดพรั้งไปใจสับสน ให้โอกาสลูกเถิดจะเลิศคน อย่าถือตนรักษาหน้าว่าน่าอาย